เจป็อป เป็นแนวดนตรีที่มีรากฐานมาจากเพลงแจซซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นช่วงโชวะตอนต้น (สมัยราชวงศ์ของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ) แจซเป็นแนวเพลงที่นำเอาเครื่องดนตรีใหม่ ๆ หลายชิ้น ที่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ในการแสดงเพลงคลาสสิกและเพลงมาร์ชของทหาร มาแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้จัก และมาช่วยแต่งแต้มสีสัน “ความสนุก” ให้กับวงการเพลงของญี่ปุ่นให้มากขึ้น เครื่องดนตรีต่าง ๆ เหล่านั้น ได้ถูกนำไปใช้ตามคลับและบาร์ในญี่ปุ่นหลาย ๆ ที่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การแสดงดนตรีแจซในญี่ปุ่นได้หยุดชะงักลงชั่วคราวเนื่องด้วยการกดดันจากฝ่ายทหารของจักรพรรดิญี่ปุ่น แต่พอสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว แนวดนตรีจากต่างประเทศ ทั้งบูกี-วูกี แมมโบ บลูส์ และคันทรี ก็ต่างตบเท้าทยอยเข้ามาสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างไม่ขาดสาย โดยผู้ที่นำเข้าดนตรีเหล่านี้ก็คือทหารของสหรัฐอเมริกาที่เข้าไปทำงานในญี่ปุ่นและกลุ่มเครือข่ายตะวันออกไกล จากการไหลเข้ามาของแนวเพลงอันหลากหลายในช่วงนั้น ได้ทำให้นักดนตรีสากลชาวญี่ปุ่นหลาย ๆ คนถือกำเนิดขึ้นและสร้างผลงานที่โด่งดังออกมาหลายเพลง ตัวอย่างเช่น โตเกียว บูกี-วูกี ของชิซูโกะ คาซางิ (พ.ศ. 2491), เท็นเนซซี วอลทซ์ ของเอริ จิเอมิ (พ.ศ. 2494), โอมัตสึริ แมมโบ ของมิโซระ ฮิบาริ และ โอโมยเดะ โนะ วอลทซ์ ของอิซูมิ ยูกิมูระ เป็นต้น นอกจากนั้น กลุ่มศิลปินและศิลปินแจซชื่อดังจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น เจเอทีพี หรือ หลุยส์ อาร์มสตรอง ก็ยังเคยไปเปิดการแสดงในญี่ปุ่นช่วงนั้นด้วย
ปีที่ถือว่าเป็น "ปีแห่งการเฟื่องฟูของเพลงแจส” (Year of the Jazz Boom) ที่สุดในญี่ปุ่นคือปีพ.ศ. 2495 โดยในปีนั้น เพลงแจซเริ่มที่จะเพิ่มระดับประสิทธิภาพทางเทคนิคให้สูงขึ้น ส่งผลให้การเล่นเพลงแจซในสมัยนั้นเริ่มยากขึ้นตามไปด้วย นักดนตรีชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงต้องหันไปเล่นดนตรีสไตล์คันทรีที่สามารถเรียนรู้และนำไปแสดงได้ง่ายกว่าแทน ทำให้เพลงหลาย ๆ เพลงในช่วงนั้นมีกลิ่นไอของคันทรีเป็นพื้นฐาน ในปีพ.ศ. 2499 กระแสคลั่งเพลงร็อก แอนด์ โรลในญี่ปุ่นได้เริ่มต้นขึ้น ผู้ที่ปลุกกระแสนี้ขึ้นมาคือกลุ่มวงดนตรีคันทรีที่ชื่อ โคซากะ คาซูยะ แอนด์ เดอะ แวกอน มาสเตอร์ส และเพลง ฮาร์ทเบรก โฮเทล ของเอลวิส เพลสลีย์ จุดสูงสุดของความนิยมร็อก-แอนด์-โรลในญี่ปุ่นอยู่ที่ปีพ.ศ. 2502 โดยในปีนั้นได้มีภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่งได้นำเอาวงดนตรีร็อก-แอนด์-โรลหลาย ๆ วงมาร่วมแสดงด้วย ทำให้เกิดเป็นการตอกย้ำกระแสร็อก แอนด์ โรล ในญี่ปุ่นให้อยู่ยงมากขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกระแสความคลั่งไคล้เพลงแนวร็อก แอนด์ โรล ในอเมริกาถึงจุดสิ้นสุด กระแสเดียวกันที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นก็เป็นอันต้องยุติลงไปด้วย เนื่องจากว่าวงดนตรีของญี่ปุ่นหลาย ๆ วงนั้นได้รับอิทธิพลมาจากวงดนตรีของอเมริกาค่อนข้างมาก ถ้าหากกระแสดนตรีของอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปในญี่ปุ่นก็จะเปลี่ยนตามทันที
ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ได้มีนักดนตรีบางคนพยายามจะนำเอาแนวเพลงป็อปดั้งเดิมของญี่ปุ่นมาผสมรวมกับร็อก-แอนด์-โรล โดยผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการกระทำเช่นนี้คนหนึ่งก็คือ คีว ซากาโมโตะ กับเพลงที่ชื่อ อูเอะ โวะ มุยเตะ อารูโก้ (เพลงนี้รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า สุกียากี้) เพลงนี้เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกที่เข้าไปอยู่อันดับ 1 ในชาร์ตจัดอันดับเพลงยอดนิยมของสหรัฐอเมริกา (ติดอันดับหนึ่งสี่สัปดาห์ในนิตยสารแคชบ็อกซ์ กับอีกสามสัปดาห์ในนิตยสารบิลบอร์ด) และยังได้รับรางวัล โกลด์ เร็คคอร์ด จากการที่สามารถขายแผ่นเสียงได้หนึ่งล้านแผ่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ก็มีนักร้องนักดนตรีญี่ปุ่นกลุ่มอื่น ๆ ที่ตัดสินใจหันมาใช้วิธีนำเอาเพลงดัง ๆ จากอเมริกามาแปลเนื้อให้เป็นภาษาญี่ปุ่นและนำมาร้องจนโด่งดัง (วิธีการดังกล่าวนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของการโคเวอร์เพลง ซึ่งเป็นอีกลูกเล่นหนึ่งที่วงการเพลงปัจจุบันยังใช้กันอยู่) แต่พอถึงยุคที่ทุก ๆ ครัวเรือนในญี่ปุ่นเริ่มมีโทรทัศน์หรือวิทยุเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้พวกเขาได้มีโอกาสฟังหรือชมภาพการแสดงและเพลงของต้นฉบับจากอเมริกาจริง ๆ ความนิยมที่จะบริโภคผลงานโคเวอร์เช่นนี้ก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ
ต่อมาในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 ถึงกลางทศวรรษที่ 80 กระบวนการการสร้างเพลงเริ่มมีความซับซ้อนในด้านการเรียบเรียงและการใช้เครื่องดนตรีมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะเรียกเพลงที่เกิดจากกระบวนเช่นนี้ว่า นิว มิวสิก เพลงนิว มิวสิก หลาย ๆ เพลงจะมีเนื้อหาที่สนองความต้องการของสังคมอย่างเรื่องความรักหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างนักร้องญี่ปุ่นแนวนิว มิวสิก ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ ทากูโระ โยชิดะ และ โยซูอิ อิโนอูเอะ ในช่วงทศวรรษที่ 80 (พ.ศ. 2523 – พ.ศ. 2532) เพลงแนว ซิตี ป็อป ก็เริ่มเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในญี่ปุ่น เพลงแนวนี้จะเป็นเพลงที่ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับกลิ่นไอบรรยากาศของเมืองใหญ่ ในญี่ปุ่น กรุงโตเกียวถือเป็นเมืองหลักที่สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงแนวนี้ขึ้นมาหลายต่อหลายเพลง
ทั้งเพลงแนวนิว มิวสิก และเพลงแนวซิตี ป็อป ต่างก็มีความคล้ายคลึงกัน ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจน เพลงหลาย ๆ เพลงที่ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงนั้นก็มักจะมีทั้งความเป็นนิว มิวสิก และซิตี ป็อบ ผสมอยู่ในตัว ดังนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้เกิดชื่อ วาเซ ป็อป (เจแปน-เมด ป็อป / เพลงป็อปที่สร้างโดยญี่ปุ่น) ขึ้น เพื่อมาใช้อธิบายเพลงแนวนิว มิวสิก และซิตี ป็อป รวมกัน
จนกระทั่งในทศวรรษที่ 90 คำว่า เจป็อป ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อที่จะนำมาใช้อธิบายลักษณะเพลงป็อปดัง ๆ หลาย ๆ เพลงในช่วงนั้นแทนคำว่าวาเซ ป็อป ศิลปินเจป็อบที่มีชื่อในช่วงนั้น ส่วนมากจะเป็นนักร้องที่เป็นผู้หญิง ตัวอย่างเช่น แดนซ์ ควีน (โยโกะ โองิโนเมะ) หรือจิซาโตะ โมริตากะ เป็นต้น ส่วนนักร้องเจป็อปที่เป็นผู้ชายก็มีอยู่เช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ฮิการุ เก็นจิ กลุ่มบอยแบนด์ติดโรลเลอร์สเก็ตที่ตอนนี้สมาชิกในกลุ่มต่างก็แยกย้ายไปมีชื่อเสียงในทางของตัวเองแล้ว และอีกคนหนึ่งก็คือ เอกิจิ ยาซาวะ ร็อกเกอร์หนุ่มที่ผันแนวมาร้องเพลงป็อป และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อเขาได้เซ็นสัญญากับบริษัทบันทึกเสียงวอรเนอร์ ไพโอเนียร์ ในปีพ.ศ. 2523 (เขาได้ย้ายไปอาศัยอยู่ ณ แถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา และได้สร้างอัลบั้มเพลงที่นี่ไว้ 3 อัลบั้มด้วยกัน ได้แก่ ยากาซาวะ, อิทส์ จัสท์ ร็อก เอ็น’ โรล, และ แฟลช อิน เจแปน อัลบั้มทั้งหมดได้ส่งไปจำหน่ายในหลายประเทศ แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในด้านการโฆษณานัก)
นักร้องเจป็อปที่น่าจดจำอีกคนหนึ่งก็คือ เซโกะ มัตสึดะ เธอคนนี้เป็นนักร้องหญิงชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังอย่างมากในช่วงทศววรษที่ 80 โดยเพลงที่นำความสำเร็จมาให้เธอเพลงหนึ่งคือเพลงภาษาอังกฤษที่เธอร้องเอาไว้ในอัลบั้ม อีเทอนัล (อัลบั้มนี้ออกจำหน่ายเมื่อปีพ.ศ. 2534) และความโด่งดังของเธอยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเมื่อหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของอเมริกาได้ลงข่าวว่าเธอมีความสัมพันธ์กับดอนนี วอห์ลเบิร์ก (สมาชิกกลุ่มนิว คิดส์ ออน เดอะ บล็อก) ที่เคยมาร้องเพลง เดอะ ไรท์ คอมไบเนชัน คู่กับเธอมาก่อนหน้าที่จะมีข่าว
ผลงานเพลงของเซโกะยังเคยครองอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงของนักร้องหญิงญี่ปุ่นติดต่อกันอย่างยาวนานที่สุด แต่สถิตนั้นก็ถูกทำลายไปโดยผลงานของอายูมิ ฮามาซากิ หลังจากผ่านพ้นยุคของเซโกะไปแล้ว นักร้องเจป็อปหลาย ๆ คนก็ได้แจ้งเกิดขึ้นมาในวงการเพลงของญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น มิโฮะ นะกะยะมะ, นากาโมริ อากินะ, โมริตากะ จิซาโตะ และคูโดะ ชิซูกะ เป็นต้น ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ได้มีการกำเนิดขึ้นของวงร็อกที่ชื่อ จาเงะ แอนด์ อัสกะ ซึ่งถือเป็นวงร็อกระดับตำนานของญี่ปุ่นและเอเชีย และยังครองใจแฟนเพลงได้ถึงปัจจุบัน สมาชิกของวงประกอบไปด้วยนักร้องสองคนได้แก่ จาเงะ (ชูจิ ชิบาตะ) และ เรียว อัสกะ (ชิเงอากิ มิยาซากิ – ปัจจุบันนี้เขาได้กลายมาเป็นนักประพันธ์เพลงชั้นเซียนคนหนึ่งของญี่ปุ่นไปแล้ว) พวกเขาได้ร่วมกันสร้างผลงานเพลงที่ดังแบบถล่มทลายเรื่อยมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 80 จนมาถึงทศวรรษที่ 90 (พ.ศ. 2533 – พ.ศ. 2542) นอกจากนั้นแล้ว การทัวร์คอนเสิร์ต เอเชียน ทัวร์ II / มิซชัน อิมพอสซิเบิล ของพวกเขาก็ยังเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตรายการใหญ่ที่สุดของนักร้องญี่ปุ่นเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย (คอนเสิร์ตครั้งนั้นเปิดแสดงทั้งหมด 61 รอบใน 4 แห่งด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน โดยทุกรอบนั้น บัตรจะขายหมดตั้งแต่วันแรกที่เปิดจำหน่ายเสมอ)
แต่ต่อมา ในช่วงกลางถึงปลายทศวรรษที่ 90 กระแสความนิยมแนวเพลงก็เริ่มเปลี่ยนไปจากร็อกกลายมาเป็นป็อปแดนซ์ จึงส่งผลให้วงร็อกแบบจาเงะ แอนด์ อัสกะ เป็นอันต้องตกรุ่นไปในที่สุด ทศวรรษที่ 90 ถือเป็นช่วงเวลาที่วงการเพลงญี่ปุ่นได้ผลิตนักร้องเจป็อปออกมาเป็นจำนวนมาก โดยในรอบสิบปีนี้ แต่ละปีจะมีศิลปินหรือกลุ่มศิลปินเจป็อปต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมามีชื่อเสียงและครองใจตลาดใหญ่เอาไว้ เริ่มตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ. 2533 ถึงพ.ศ. 2536 ศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนั้นก็คือ ซาร์ด, Wands, Deen, บีซ และ เซาวเธอร์น ออล สตาร์ส ต่อจากนั้นในปีพ.ศ. 2537 ถึงพ.ศ. 2540 ผู้ที่ครองตลาดเจป็อปกลุ่มต่อมาก็คือศิลปินในตระกูล ทีเค TK (เท็ตซึยะ โคมุโระ), นามิเอะ อามูโระ, แม็กซ์ (เดอะ ซูเปอร์ มังกีส์) และสปีด นอกจากนั้นในช่วงปลายของยุคนี้ มอร์นิงมูซูเมะซึ่งถือได้ว่าเป็นกลุ่มนักร้องหญิงเจป็อปที่โด่งดังมากในปัจจุบันก็เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งกลุ่มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2540 (กลุ่มมอร์นิงมูซูเมะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในช่วงปลายของยุคนี้ และยังคงสานต่อความโด่งดังของกลุ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันด้วยการค้นสมาชิกใหม่ ๆ เข้ามาหมุนเวียนในกลุ่มตลอดเกือบทุกปี และยังได้นำเอารูปแบบ “การแตกกลุ่มนักร้องย่อย” จากอนยังโกะ คลับ กลุ่มนักร้องหญิงที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 80 มาใช้ด้วย / ทั้งกลุ่มมอร์นิงมูซูเมะ และสปีดต่างก็สร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากผลงานของพวกเธอสามารถขายได้เกินล้านก๊อปปี้ และนอกจากนั้นทั้งสองกลุ่มนี้ยังมีแนวเพลงแบบป็อป-เทคโนที่คล้ายกันอีกด้วย)
ต่อมาในปีพ.ศ. 2541 อันดับที่ 1 ของชาร์ตเพลงเจป็อป ก็เปลี่ยนมือมาเป็นของวิชวล เค และชัซนะ และในปีพ.ศ. 2542 ก็เป็นการปิดท้ายยุค 90 ด้วยความนิยมในตัวนักร้องที่เป็นผู้หญิง อย่างอูทาดะ ฮิคารุ หรืออายูมิ ฮามาซากิ โดยเฉพาะอูทาดะ เธอคนนี้เป็นทั้งนักร้อง และนักประพันธ์เพลงสาว ที่ทรงอิทธิพลของวงการเพลงญี่ปุ่นผู้หนึ่ง เธอคือผู้ที่นำเอากระแสอาร์แอนด์บีเข้ามาสู่เจป็อปผ่านทางเพลงซิงเกิลแรกของเธอที่ชื่อ ออโตแมติก/ไทม์วิลเทลล์ นอกจากนั้นแล้วผลงานอัลบั้ม เฟิสต์เลิฟ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกของเธอ ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,500,000 ก๊อปปี้ ซึ่งถือเป็นสถิติของอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่น และเป็นยอดขายที่ไม่เคยมีผลงานอัลบั้มแรกของศิลปินญี่ปุ่นคนใดเคยทำได้สูงเท่านี้มาก่อนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเพลงอาร์&บีของอูทาดะ จะถูกหูผู้จำนวนมหาศาล แต่แนวเพลงกระแสหลักที่คนส่วนใหญ่ยังนิยมกันอยู่ในขณะนั้น ก็ยังคงเป็นเพลงป็อปเช่นเดิม ทำให้เกิดศิลปินแนวป็อปคนอื่น ๆ อย่าง ไม คุรากิ และอามิ ซูซูกิ ขึ้นมาประดับวงการเรื่อยมา
ส่วนศิลปินที่ดูเหมือนจะโด่งดังและมีชื่อเสียงเกือบตลอดทั้งทศวรรษนั้นเลย ก็คือ SMAP ศิลปินกลุ่มนี้เป็นกลุ่มบอยแบนด์ที่นำเอาเพลงของตัวเองและการโชว์ พรสวรรค์ ผ่านทางโทรทัศน์มารวมเข้าไว้ด้วยกัน (ในช่วงปีหลัง ๆ ของทศวรรษนี้ ทาคุยะ คิมุระ หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ได้กลายมาเป็นนักแสดงที่เป็นที่นิยมไป โดยจะใช้ชื่อ คิมูตากุ เป็นชื่อเรียกแทนตัวเขาในวงการการแสดง)
เมื่อเข้าสู่ คริสต์ทศวรรษ 2000 (พ.ศ. 2543 – พ.ศ. 2552) โดยเฉพาะช่วงกลางทศวรรษ แนวเพลงอาร์&บี และฮิพฮ็อพ ต่างก็เข้ามามีอิทธิพลต่อวงการเพลงของญี่ปุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื้อหาของเพลงที่สร้างออกมาในช่วงนี้ ก็เริ่มที่จะประเดียดไปในทางล่อแหลม ลามกอนาจาร และยุยงในเรื่องที่ไม่ดีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ศิลปินหลาย ๆ คนที่เคยร้องแต่เพลงที่มีเนื้อหาพื้น ๆ ธรรมดา ต้องปรับมาร้องเพลงที่มีเนื้อหาที่กล้า และหยาบกร้านเช่นนี้กันเกือบหมด ในขณะเดียวกัน เจป็อปบางส่วน ยังได้รับอิทธิพลจากแนวเพลงอินดี้ด้วย เช่น ผลงานของโคอิโกะ นักร้องหญิงแนวป็อป อาร์&บี จากค่ายเพลงอินดี้ในเมืองมิยาซากิ เป็นต้น
ชาร์ตอันดับเพลงเจป็อปในช่วงนี้ ก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยรายชื่อของนักร้องชาย ทั้งเดี่ยวและกลุ่มเป็นส่วนใหญ่ ส่วนนักร้องที่เป็นผู้หญิงนั้น ก็เริ่มเสื่อมความนิยมไปตั้งแต่สิ้นสุดทศวรรษที่ 90
คอนเสิร์ทขาวแดง Kouhaku Uta Gassen
[J-Music Chronicles #พิเศษ] คอนเสิร์ทขาวแดง Kouhaku Uta Gassen....มหกรรมดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่ีสุดของญี่ปุ่น
งาน Kouhaku Uta Gassen (紅白歌合戦) หรือที่รู้จักกันในชื่อมหกรรมดนตรีขาวแดงนั้น เป็นรายการประจำปีที่จัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ NHK ทุกๆวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี และถือเป็นรายการโทรทัศน์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของวงการบันเทิงญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ รูปแบบของรายการโดยสรุป คือนำศิลปินนักร้องชื่อดัง 40-50 คนมาแบ่งเป็นสองทีมแล้วมาร้องเพลงประชันกัน หลักการแบ่งทีมก็คือ สมาชิกทีมขาว(白)คือวงที่มีนักร้องนำเป็นผู้ชาย ส่วนทีมแดง(紅)จะเป็นวงที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิง เมื่อทั้งสองทีมผลัดกันร้องจนครบทุกคนแล้ว ก็จะมีการตัดสินผลแพ้ชนะด้วยผลโหวตจากกรรมการ ผู้ชมในห้องส่งและผู้ชมทางบ้าน รายการ Kouhaku เป็นรายการที่มีประวัติอันยาวนานและถือเป็นส่วนสำคัญในคืนวันสิ้นปีของคนญี่ปุ่น
ว่ากันว่าครอบครัวชาวญี่ปุ่นจะนั่งล้อมวงกินข้าวร่วมกันในคืนวันสิ้นปีและดู Kouhaku ไปด้วย เพราะเป็นรายการที่รวบรวมนักร้องหลากหลายแนว สำหรับคนญี่ปุ่นทุกเพศ ทุกวัยอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นนักร้องเพลง Pop เพลง Rock เพลงลูกทุ่ง(enka) เพลงลูกกรุง(kayou) R&B Classic ฯลฯ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมรายการนี้จึงได้รับความนิยมมาเป็นเวลายาวนานจนมาถึงปีที่ 60 ในปีนี้ รายการ Kouhaku นี้ เริ่มขึ้นจากไอเดียของคุณ Kondo Tsumoru โปรดิวเซอร์รายการวิทยุของ NHK คุณ Kondo ได้จัดรายการวิทยุพิเศษขึ้นในวันที่ 3 มกราคม 1951 โดยนำนักร้องชื่อดังในยุคนั้นมารวมตัวกันในห้องส่งรายการวิทยุ ซึ่งก็แบ่งทีมเป็นสองทีมคือทีมขาว(ชาย)และทีมแดง(หญิง)แล้วผลัดกันมาร้องเพลงแข่งกัน
รายการวิทยุของคุณ Kondo ในวันนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก จน NHK จัดให้มีรายการนี้อีกในเดือนมกราคมปี 1952 และ 1953 เมื่อ NHK เริ่มกิจการโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1953 ก็ยังติดใจรายการวิทยุของคุณ Kondo อยู่ จึงได้จัดให้มีงาน Kouhaku ขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ในวันที่ 31 ธันวาคม 1953 ถือเป็นการถ่ายทอดทีวีครั้งแรกของ Kouhaku และทำให้ปี 1953 เป็นปีแรกและปีเดียวที่มี Kouhaku สองครั้งคือทางวิทยุในวันที่ 2 มกราคม(ครั้งที่ 3) และทางทีวีในวันสิ้นปี (ครั้งที่ 4) ในปีแรกๆจะถ่ายทอดสดจากห้องส่ง NHK และสลับสับเปลี่ยนกันไปตามโรงละครต่างๆในกรุงโตเกียว แต่ตั้งแต่ปี 1961 เป็นต้นมา Tokyo Takarazuka Theatre ก็เป็นสถานที่ประจำที่ใช้จัดงานจนถึงปี 1972(ครั้งที่ 23) และเมื่อ NHK ย้ายสถานีมาที่ชิบุยะและได้สร้าง NHK Hall ขึ้นในปี 1973 ที่นี่ก็กลายเป็นที่จัดงาน Kouhaku มาจนถึงปัจจุบัน สำหรับ NHK Hall มีความจุ 3,800 ที่นั่ง ฉะนั้นผู้ที่มีสิทธิเข้ารับชม Kouhaku แบบสดๆจึงมีจำนวนจำกัด ในแต่ละปี ประชาชนทั่วไปที่ต้องการเข้าชมงาน Kouhaku จะต้องส่งแบบฟอร์มแจ้งไปยัง NHK เพื่อขอบัตรเข้าชม โดยผู้มีสิทธิขอบัตรนั้นจะต้องเป็นผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนียมรับชมให้กับ NHK อย่างถูกต้องในปีนั้นๆ สำหรับในปีนี้ งาน Kouhaku ครั้งที่ 60 มีผู้ส่งแบบฟอร์มเข้ามา 591,274 ราย แต่มีที่นั่งให้ได้แค่ 1,353 ที่เท่านั้น รายการ Kouhaku ในช่วงแรกจะเป็นรายการสั้นๆเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ในยุคหลังๆเมื่อมีผู้ร่วมรายการมากขึ้นและมีโชว์พิเศษ มีกิจกรรมพิเศษบนเวทีมากขึ้น ความยาวของรายการก็เพิ่มตามไปด้วย ในปี 1989(ครั้งที่ 40) ทาง NHK จึงแบ่งรายการออกเป็นสองช่วง และจะมีข่าวสั้นคั่นรายการ 5 นาทีระหว่างช่วงแรกกับช่วงหลัง ในปีนี้ ช่วงแรกจะเริ่มเวลา 19:15 ถึง 20:55 ส่วนช่วงหลังจะเริ่มตอน 21:00 ไปจนถึง 23:45 Kouhaku ครั้งที่ 60 ครั้งนี้จึงนับเป็น Kouhaku ที่ยาวที่สุดคือจะกินเวลาทั้งหมดสี่ชั่วโมงครึ่ง นักร้องที่ได้ไปออก ก็จะคัดเลือกโดยทีมงานของ NHK ซึ่งจะส่งคำเชิญไป หลักเกณฑ์ในการคัดเลือก คือการพยายามหาศิลปินที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย เพราะรายการนี้ถือเป็นรายการสำหรับครอบครัวที่นั่งดูด้วยกันในคืนปีใหม่ และก็จะพยายามเชิญให้หลากหลายค่าย หลากหลายแนวด้วย คนที่ได้รับเชิญ มักจะเป็นคนที่มีผลงานโด่งดัง สร้างกระแสฮือฮาในปีนั้นๆ หรือไม่ก็เป็นประเภทพวกดาวค้างฟ้าที่ติดลมบนไปแล้ว ที่ถ้าไม่ปฎิเสธยังไงก็ได้ออก สำหรับในปีนี้ คุณ Inoue Keisuke โปรดิวเซอร์ของรายการให้สัมภาษณ์ว่า การคัดเลือกนั้น ทางทีมงานดูที่ยอดขายจาก Oricon และ Soundscan และยังทำ poll สำรวจจากประชาชน 5,000 คนตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไปอีกด้วย ว่ากันว่าการได้ไปออกงานนี้จะถือเป็นเกียรติอย่างสูง เป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจในฐานะนักร้องนักดนตรี เราจึงได้เห็นนักร้องชื่อดังหลายคนร้องไห้ไปพร้อมๆกับร้องเพลงในรายการ Kouhaku เมื่อการได้ไปออก Kouhaku กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก่อนการประกาศชื่อ สื่อต่างๆจะคาดเดากันสนุกว่าศิลปินนักร้องคนดังคนไหนใครบ้างที่จะได้ไปออกงาน Kouhaku ในปีนั้นๆ และหลังประกาศชื่อแล้ว สื่อเหล่านี้และ gossip sites ต่างๆก็จะวิเคราะห์วิจารณ์กันต่อถึงตัวเลือกในแต่ละปี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีนักร้องที่ปฏิเสธคำเชิญขึ้นงาน Kouhaku จาก NHK ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นศิลปินนักร้องรุ่นใหญ่ที่เป็นดาวค้างฟ้าอย่างเช่นอุทาดะ ฮิคารุหรือ Mr.Children รายหลังนี่ว่ากันว่า NHK เชิญแล้วเชิญอีกมาเป็นสิบๆปี แต่ปฏิเสธมาตลอด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วนี่แหละ ที่ Mr.Children มาร้องเพลงธีมการรายงานโอลิมปิกของทางช่อง NHK ถึงได้ยอมมาออกรายการให้ แต่ก็ไม่ได้มาเล่นบนเวที NHK Hall เหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นการแสดงถ่ายทอดมาจากห้องส่งของ NHK แทน อามุโระ นามิเอะก็เป็นอีกคนที่ยุคหลังๆปฏิเสธการไปออก Kouhaku ด้วยเหตุผลว่าต้องการอยู่กับลูกในวันสิ้นปี สำหรับการเชิญศิลปินไปร่วมงานนั้น ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ว่าต้องเป็นนักร้องญี่ปุ่นเท่านั้น ที่ผ่านมาก็เคยมีนักร้องชื่อดังจากนอกญี่ปุ่นมากมายที่เคยแสดงในงาน Kouhaku อย่างเช่น Cyndi Lauper, Paul Simon, เติ้งลี่จวิน, Enya ฯลฯ ในแต่ละปี นอกจากใครต่อใครจะคอยรอลุ้นว่าศิลปินนักร้องคนไหนจะได้ขึ้น Kouhaku บ้างแล้ว อีกเรื่องนึงที่ในยุคหลังๆมีการลุ้นมีการเก็งกันอยู่ทุกปีคือชื่อของหัวหน้าทีมของทั้งสองทีม เพราะการได้เป็นหัวหน้าทีม(หรือพิธีกร)งานใหญ่อย่าง Kouhaku นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จหรือเกียรติประวัติที่น่าภูมิใจของคนที่ได้รับเลือกเช่นกัน สำหรับผู้ที่ได้เป็นหัวหน้าทีม Kouhaku นั้น ในยุคแรกๆจะเป็นพิธีกรลูกหม้อของช่อง NHK เอง แต่มาช่วงหลัง มีการเชิญดารานักแสดงหรือตลกและพิธีกรที่มีชื่อเสียงมารับหน้าที่นี้มากขึ้น โดยปกติแล้ว หัวหน้าทีมขาวจะเป็นผู้ชายและหัวหน้าทีมแดงจะเป็นผู้หญิง มีอยู่เพียงสามครั้งเท่านั้นที่หัวหน้าทีมแดงเป็นผู้ชายคือในครั้งที่ 6 และ 7 (1955&1956) คือคุณ Miyata Teru และในครั้งที่ 58 เมื่อปี 2007 ที่ Nakai Masahiro เป็นหัวหน้าทีมแดง หัวหน้าทีมที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ Kouhaku คือดาราสาวชื่อดังอย่าง Matsu Takako โดยเธอรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมแดงในครั้งที่ 47 เมื่อปี 1996 ขณะที่เธอมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น